5 พ.ค. 2565  ดุสเซลดอล์ฟ เยอรมนี

สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ท้าทายอย่างยิ่งยวด

เฮงเค็ลมียอดขายที่เติบโตอย่างโดดเด่น ในไตรมาส 1

  • ยอดขายรวมของทั้งกลุ่มเพิ่มขึ้น 7.1% ถึงระดับประมาณ 5.3 พันล้านยูโร ลดลง 6.1 %:
    • เทคโนโลยีกาวมีการเติบโตของยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ เป็นตัวเลขสองหลักที่ 10.7 %  เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 11.6 %
    • ผลิตภัณฑ์บิวตี้แคร์มีการยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ติดลบเล็กน้อย -1.2 % ลดลง -3.5 % เนื่องจากการดำเนินการตามมาตรการที่วางแผนไว้
    • ผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน  มีอัตราการเติบโตของยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ที่แข็งแกร่งมากที่ 4.9 % เพิ่มขึ้น 2.2 %
  • ตลาดเกิดใหม่มียอดขายเติบโตเป็นเลขสองหลัก ตลาดที่พัฒนาแล้วเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
  • การรวมหน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนและบิวตี้แคร์เข้ามาไว้ในแพลตฟอร์มเดียวกัน ภายใต้ผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคของเฮงเค็ล (Henkel Consumer Brands):
    • เพิ่มความแข็งแกร่งของการเติบโตและรักษากำไรในธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค
    • การบูรณาการทำงานร่วมกัน: สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายขั้นต้นได้ประมาณ 500 ล้านยูโร ตามเป้าที่ตั้งไว้ในระยะกลาง
    • มาตรการระยะแรกที่จะดำเนินการภายในสิ้นปี 2566: คาดว่าจะประหยัดได้สุทธิประมาณ 250 ล้านยูโรต่อปี และมีแรงงานประมาณ 2,000 คนทั่วโลกที่จะได้รับผลกระทบทั่วโลก
    • ทบทวนมาตรการด้านพอร์ตโฟลิโอสำหรับธุรกิจที่มียอดขายรวมต่อปีสูงถึง 1 พันล้านยูโร
  • ภาพรวมสำหรับปีงบประมาณ 2565 ปรับปรุงเมื่อวันที่ 29 เมษายน
  • ความมุ่งมั่นด้านการเงินที่ชัดเจนในระยะกลางถึงระยะยาว

ในไตรมาสแรกของปี 2565 ยอดขายรวมของกลุ่มเฮงเค็ลเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 5.3 พันล้านยูโรท่ามกลางสภาพแวดล้อมของตลาดที่ท้าทายอย่างยิ่ง  ยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ เติบโตเพิ่มขึ้น 7.1 % โดยได้แรงหนุนหลักจากประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมในการกำหนดราคา ขณะที่ปริมาณนั้นปรับลดลงเล็กน้อย  โดยคร่าวๆก็คือ มียอดขายเพิ่มขึ้น 6.1 %

คาร์สเทน โนเบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของเฮงเค็ล กล่าวว่า “ยอดขายที่ดีมากนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงวาระการเติบโตของเรา รวมถึงการทุ่มเทเป็นอย่างมากจากพนักงานทั่วโลก และเราต้องการแสดงความขอบคุณสำหรับความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา อย่างไรก็ตาม สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจเชิงมหภาคยังเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา  ผลกระทบของวิกฤตไวรัสโคโรน่าทั่วโลก ประกอบกับสถานการณ์ตึงเครียดในตลาดวัตถุดิบและซัพพลายเชนทั่วโลก ทวีความรุนแรงขึ้นจากภาวะวิกฤติสงครามในยูเครน”

“แม้จะมีสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ เราก็ยังคงผลักดันกลยุทธ์ที่ชัดเจนของเราเพื่อการเติบโตอย่างมีเป้าหมาย  ธุรกิจเทคโนโลยีกาวของเราเป็นผู้นำระดับโลกในตลาด มีการนำเสนอโซลูชั่นที่เป็นนวัตกรรมในอุตสาหกรรมสำคัญๆ มากมาย โดยมุ่งเน้นที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นแนวโน้มที่ชัดเจนในอนาคต เช่น การเคลื่อนที่ การเชื่อมต่อ และความยั่งยืน  และด้วยการรวบรวมเอาหน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคของเรา ผลิตภัณฑ์ซักผ้าและในครัวเรือนและผลิตภัณฑ์บิวตี้แคร์ เพื่อสร้างแบรนด์ผู้บริโภคของเฮงเค็ล (Henkel Consumer Brands) เรากำลังสร้างแพลตฟอร์มสินค้าหลากประเภทที่มียอดขายประมาณ 10 พันล้านยูโร  เราตั้งเป้าที่จะให้แพลตฟอร์มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคจะพร้อมเริ่มดำเนินการได้ภายในต้นปี 2566 เป็นอย่างช้าที่สุด  มันจะเป็นการนำเสนอสินค้าบนฐานที่กว้างขึ้นเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพพอร์ตโฟลิโอของเราให้มีความสม่ำเสมอมากขึ้น และทำให้ธุรกิจมีการเติบโตและอัตรากำไรที่สูงขึ้น” คาร์สเทน โนเบล อธิบาย

การเติบโตของยอดขายในไตรมาสแรกได้รับแรงหนุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากหน่วยธุรกิจเทคโนโลยีกาว ซึ่งสร้างยอดขายที่เติบโตขึ้นแบบออร์แกนิกเป็นตัวเลขสองหลักเป็นที่ 10.7 % โดยมีธุรกิจทั้งหมดมีส่วนร่วมสนับสนุน

ยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ในหน่วยธุรกิจบิวตี้แคร์ติดลบเล็กน้อยที่ -1.2 % ในไตรมาสแรก ธุรกิจระดับมืออาชีพเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก  ตามที่คาดการณ์ไว้ ผลลัพธ์ในธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคนั้นต่ำกว่าปีที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการดำเนินตามมาตรการด้านพอร์ตโฟลิโอที่ประกาศไว้ในปี 2565

หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนมียอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นถึง 4.9 % โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตในผลิตภัณฑ์ซักล้าง  ในทางตรงกันข้าม การยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ของธุรกิจผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนติดลบเล็กน้อย ในไตรมาสแรก

จากมุมมองเชิงภูมิภาค ยอดขายที่สำคัญของเฮงเค็ลได้รับแรงหนุนจากตลาดเกิดใหม่เป็นหลัก  อย่างไรก็ตาม ตลาดพัฒนาแล้วก็มียอดขายที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

เมื่อมองไปข้างหน้าถึงช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2565 คาร์สเทน โนเบลให้ความเห็นว่า: “ความไม่แน่นอนและความผันผวนในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของเราได้เพิ่มขึ้นอีกหลังจากเกิดสงครามในยูเครน  ราคาวัตถุดิบและบริการด้านการขนส่งเพิ่มขึ้นอย่างมากอีกครั้ง  ท่ามกลางการอุบัติขึ้นของสงครามในยูเครน ในกลางเดือนเมษายนเรายังได้ตัดสินใจที่จะถอนการดำเนินธุรกิจในรัสเซีย  นอกจากนี้ เราได้ประกาศยุติกิจกรรมในเบลารุสด้วย  ซึ่งส่งผลต่อยอดขายรวมประจำปีประมาณ 1 พันล้านยูโรและส่งผลกระทบต่อพนักงานมากกว่า 2,500 คน  จากเหตุการณ์เหล่านี้ ตอนนี้เราคาดว่าแรงกดดันต่อรายได้ของเราในช่วงที่เหลือของปีจะสูงขึ้นกว่าช่วงต้นปีเป็นอย่างมาก  ดังนั้นเราจึงอัปเดตคำแนะนำประจำปีให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ต่างๆ เมื่อปลายเดือนเมษายน”

ตอนนี้ เฮงเค็ลคาดว่ายอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ จะเติบโตที่ระดับกลุ่มจะเพิ่มขึ้นที่ระดับ 3.5 ถึง 5.5% ในปีงบประมาณ 2565 ผลตอบแทนจากการขายที่ปรับปรุงแล้ว (EBIT margin) คาดว่าจะอยู่ในช่วง 9 ถึง 11 %  สำหรับกำไรต่อหุ้นที่ปรับปรุงแล้วที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ เฮงเค็ลคาดว่าจะลดลงในช่วง -35 ถึง -15 %

ยอดขายโดยรวมของทั้งกลุ่ม

ยอดขายรวมของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 6.1% ในไตรมาสแรกของปี 2565 จาก 4,968 ล้านยูโรในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเป็น 5,271 ล้านยูโร  โดยมียอดขายที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ (เช่น ยอดที่ปรับตามอัตราแลกเปลี่ยนและการเข้าซื้อกิจการ/ถอนการลงทุน) เพิ่มขึ้น 7.1 %  การเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของยอดขายในระดับกลุ่มนี้เป็นผลมาจากราคา  ส่วนการควบรวมกิจการและการถอนการลงทุนทำให้ยอดขายลดลง -1.1 %  ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนมีผลในเชิงบวกเล็กน้อยที่ +0.2 % ของยอดขาย

ตลาดเกิดใหม่ประสบความสำเร็จในการเติบโตของยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ เป็นตัวเลขสองหลักที่ 11.4 % ในไตรมาสแรก  การเติบโตของยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ในตลาดพัฒนาแล้วค่อนข้างแข็งแกร่งโดยเพิ่มขึ้น3.1 %  ในขณะที่ภูมิภาคยุโรปตะวันตกลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบเป็นรายปีโดยมีการยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ลดลง 0.4 % ยอดขายเพิ่มขึ้น 21% ในยุโรปตะวันออก  การเติบโตของยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ เพิ่มขึ้น 1.4 %ในภูมิภาคแอฟริกา/ตะวันออกกลางในช่วงไตรมาสแรกของปี 2022 และเราสามารถเพิ่มยอดขายในภูมิภาคอเมริกาเหนือได้ 6.6 %  การเติบโตของยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ เพิ่มขึ้นถึง 15.2 % ในละตินอเมริกาและ เพิ่มขึ้นอีก 5.3 %ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ยอดขาย เทคโนโลยีกาว

 ในไตรมาสแรกของปี 2565 ยอดขายในหน่วยธุรกิจเทคโนโลยีกาวเพิ่มขึ้น11.6 % จาก 2,358 ล้านยูโรในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเป็น 2,631 ล้านยูโร  โดยมียอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ  (เช่น ปรับตามอัตราแลกเปลี่ยนและการเข้าซื้อกิจการ/ถอนการลงทุน) มียอดขายเพิ่มขึ้น 10.7 % เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2564 ปริมาณยังคงทรงตัวในขณะที่ราคาเพิ่มขึ้นเป็นหลักเปอร์เซนต์แบบตัวเลขสองหลัก  ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 1.6 % ในขณะที่การซื้อ/ถอนการลงทุนทำให้ติดลบเล็กน้อยที่ 0.7 %

ธุรกิจของเทคโนโลยีกาวทั้งหมดมีส่วนทำให้ยอดขายเติบโตในไตรมาสแรก  ธุรกิจยานยนต์และโลหะสร้างการเติบโตของยอดขายได้ดี  ผลกระทบเชิงลบที่มีต่อธุรกิจเกิดจากยอดผลิตยานยนต์ที่ลดลง โดยเฉพาะสาเหตุจากการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง แต่มีชดเชยด้วยการเติบโตแบบตัวเลขสองหลักในธุรกิจโลหะ  กลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสินค้าอุปโภคบริโภคได้รับประโยชน์จากความต้องการของลูกค้าที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสร้างยอดขายเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก โดยได้รับแรงหนุนจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์และไลฟ์สไตล์โดยเฉพาะ  กลุ่มธุรกิจอิเล็คทรอนิคส์และอุตสาหกรรมช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตแบบตัวเลขสองหลักในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ส่งผลบวกต่อการเติบโตของยอดขายของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์  กลุ่มธุรกิจงานช่าง ก่อสร้าง และช่างมืออาชีพ (Craftsmen, Construction & Professional) มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยได้แรงหนุนหลักจากการเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลักทั้งในด้านการก่อสร้างและด้านวิศวกรรมเครื่องกลและการบำรุงรักษา

เมื่อพิจารณาถึงรายละเอียดในระดับภูมิภาค หน่วยธุรกิจเทคโนโลยีกาวประสบความสำเร็จในการเติบโตของยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ถึงสองหลักในตลาดเกิดใหม่  การเติบโตของยอดขายในยุโรปตะวันออกและละตินอเมริกาอยู่ในช่วงเลขสองหลักโดยได้แรงหนุนจากกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นหลัก  ภูมิภาคแอฟริกา/ตะวันออกกลางสร้างยอดขายได้อย่างมีนัยสำคัญ และภูมิภาคเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมาก

การเติบโตของยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ในตลาดพัฒนาแล้วค่อนข้างมีนัยสำคัญในภาพรวม โดยภูมิภาคอเมริกาเหนือมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก  เรามียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งมากในยุโรปตะวันตก การผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ลดลงส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเราแต่ก็มีการชดเชยด้วยยอดที่เติบโตจากธุรกิจอื่นๆ ทั้งหมด  ตลาดที่พัฒนาแล้วในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยทุกภาคส่วนธุรกิจมีส่วนสนับสนุน

ยอดขาย ผลิตภัณฑ์บิวตี้แคร์

 ในไตรมาสแรกของปี 2565 ยอดขายในหน่วยธุรกิจบิวตี้แคร์ลดลง 3.5 % มาอยู่ที่ 892 ล้านยูโร (ไตรมาสที่ 1 ปี 2564: 925 ล้านยูโร)  ยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ นั้น (เช่น ปรับค่าอัตราแลกเปลี่ยนและการเข้าซื้อกิจการ/ถอนการลงทุน) มียอดต่ำกว่าระดับปีก่อนหน้า 1.2 %  ในขณะที่ปริมาณลดลง หน่วยธุรกิจก็มีการพัฒนาด้านราคาที่แข็งแกร่ง  ผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.1 % ในขณะที่การซื้อกิจการ/ถอนการลงทุนทำให้ยอดขายลดลง -2.4 %

ในไตรมาสแรกของปี 2565 ยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ในกลุ่มธุรกิจอุปโภคบริโภคต่ำกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากมาตรการด้านพอร์ตโฟลิโอที่ได้ประกาศไว้ ซึ่งรวมถึงการยกเลิกกิจกรรมที่จะไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักในอนาคต  ภายใต้กระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน กิจกรรมทางธุรกิจที่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 5 %ของยอดขายผลิตภัณฑ์บิวตี้แคร์ในปี 2564 จะหยุดดำเนินการตลอดปีนี้  ในไตรมาสแรก ยอดขายรวมในหมวดเครื่องสำอางสำหรับเส้นผมลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่ายอดขายแต่ละประเภทสินค้าจะแตกต่างกันก็ตาม  ธุรกิจจัดแต่งทรงผมมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก ส่งผลให้มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้ว  ยอดขายของธุรกิจผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมและดูแลเส้นผมต่ำกว่าปีก่อนหน้า  ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผม เกิดจากการที่ความต้องการเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่เกิดการแพร่ระบาด การลดสัดส่วนลงในธุรกิจบอดีแคร์ก็เกิดจากมาตรการปรับพอร์ตโฟลิโอดังกล่าว

กลุ่มธุรกิจ Professional ยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกของปีที่แล้ว โดยมียอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ที่เติบโตแบบตัวเลขสองหลัก  ในขณะที่การเติบโตนั้นมาจากทั้งตลาดที่พัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ การเติบโตของยอดขายนี้ได้รับแรงหนุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักที่เกิดขึ้นในอเมริกาเหนือและในยุโรปตะวันตกและตะวันออก

การเติบโตของยอดขายโดยรวมในตลาดเกิดใหม่ค่อนข้างดีในไตรมาสแรก โดยเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) และละตินอเมริกามียอดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ  ภูมิภาคยุโรปตะวันออกมียอดขายเติบโตอย่างแข็งแกร่งมาก ในขณะที่ยอดขายในภูมิภาคแอฟริกา/ตะวันออกกลางติดลบ สาเหตุหลักมาจากมาตรการปรับพอร์ตโฟลิโอตามที่กล่าวมา

โดยรวมแล้วยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ในตลาดพัฒนาแล้วต่ำกว่าปีก่อนหน้า  ตลาดอิ่มตัวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสร้างยอดขายเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค  ภูมิภาคอเมริกาเหนือมียอดขายดี โดยได้แรงหนุนจากกลุ่มธุรกิจ Professional ในทางตรงกันข้าม ยอดขายที่ติดลบในยุโรปตะวันตก มีสาเหตุหลักมาจากความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมที่กลับมาเป็นปกติและจากมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพพอร์ตโฟลิโอ

ยอดขายผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน

หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนมียอดขาย 1,692 ล้านยูโรในไตรมาสแรกของปี 2565 เพิ่มขึ้น 2.2% เมื่อเทียบกับ 1,656 ล้านยูโรในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน  โดยยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ  (เช่น ปรับตามอัตราแลกเปลี่ยนและการเข้าซื้อกิจการ/ถอนการลงทุน) หน่วยธุรกิจมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 4.9 %  ความสำเร็จนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการปรับราคาเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลักในขณะที่ปริมาณลดลง  การซื้อ/ถอนการลงทุนมีผลกระทบต่อยอดขายเล็กน้อยที่ -1.0 %  ผลกระทบของค่าเงินมีผลกระทบเชิงลบต่อยอดขาย 1.8 %

กลุ่มธุรกิจยอดขายผลิตภัณฑ์ซักล้างมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาสแรก โดยได้แรงหนุนหลักจากการพัฒนาที่สำคัญของสินค้าประเภทผงซักฟอกสำหรับงานหนักและน้ำยาทำความสะอาดผ้า  แบรนด์หลักของเรา Persil มีส่วนสำคัญต่อยอดขายที่เพิ่มขึ้น ต้องขอบคุณนวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่งของเรา เช่นเดียวกับแบรนด์ในอเมริกาเหนือของเรา "all"  ผงซักฟอกชนิดพิเศษของเรามีการเติบโตในช่วงตัวเลขสองหลัก ซึ่งส่วนใหญ่ขับเคลื่อนโดยแบรนด์ Perwoll ของเรา

ในกลุ่มธุรกิจ Home Care ของเรา ยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ในไตรมาสแรกติดลบเล็กน้อย โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากยอดขายที่ลดลงในหมวดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นผิวชนิดแข็ง  ทั้งนี้เนื่องมาจากความต้องการเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติภายหลังจากที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปีก่อนหน้า เนื่องจากวิกฤติโควิด-19  ในทางตรงกันข้าม ยอดขายในผลิตภัณฑ์ล้างจานและน้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำเป็นไปในเชิงบวกและดีขึ้นตามลำดับ โดยได้แรงหนุนจากตระกูลแบรนด์ Pril และ Bref ของเรา

ในตลาดเกิดใหม่ เรามียอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลักในไตรมาสแรก โดยส่วนใหญ่มาจากภูมิภาคยุโรปตะวันออกและละตินอเมริกา ซึ่งทั้งสองภูมิภาคมียอดขายเพิ่มขึ้นในช่วงตัวเลขสองหลัก  ยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ เติบโตอย่างแข็งแกร่งมากในภูมิภาคแอฟริกา/ตะวันออกกลาง และเป็นบวกในภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น)

ยอดขายแบบปกติมีภาพรวมเป็นไปในเชิงบวกในตลาดที่พัฒนาแล้วได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่ดีในอเมริกาเหนือและการเติบโตสองหลักในตลาดที่พัฒนาแล้วของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก  ในทางตรงกันข้าม ยอดขายในยุโรปตะวันตกลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

สินทรัพย์สุทธิและฐานะการเงินของกลุ่มบริษัท

ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในสินทรัพย์สุทธิและฐานะการเงินของกลุ่มที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อยู่ระหว่างการพิจารณา เมื่อเทียบกับสถานการณ์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564

การควบรวมธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อสร้างใหม่แบบบูรณาการ หน่วยธุรกิจ Henkel Consumer Brands

เมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2565 เฮงเค็ลได้ประกาศแผนการที่จะรวมหน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในคัวเรือนและบิวตี้แคร์เข้ามาบูรณาการเป็นหน่วยธุรกิจใหม่ Henkel Consumer Brands โดยเน้นที่สินค้าสองประเภทที่จำหน่ายไปทั่วโลก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ซักล้างและในครัวเรือน และ ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม  หมวดหมู่นอกเหนือจากนั้นจะแยกไปยังแต่ละภูมิภาค

“การสร้างแบรนด์ผู้บริโภคของเฮงเค็ลเป็นขั้นตอนเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับเราในการกำหนดอนาคตความสำเร็จของบริษัท  เรามีพอร์ตการลงทุนที่น่าสนใจในทั้งสองหน่วยธุรกิจ – ผลิตภัณฑ์ซักล้างและของใช้ในครัวเรือนและบิวตี้แคร์ - ด้วยแบรนด์ที่แข็งแกร่งและตำแหน่งผู้นำในตลาดทั่วโลก  การกำหนดหน่วยธุรกิจใหม่นี้เป็นแพลตฟอร์มแบบรวมหลายหมวดหมู่ ถือเป็นความมุ่งมั่นของเราในการเพิ่มการเติบโตและอัตรากำไรในธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค” คาร์สเทน โนเบล ซีอีโอของเฮงเค็ลกล่าว

“การรวมธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคของเราเข้าด้วยกัน ทำให้เราสามารถผนึกกำลังที่สำคัญในหลาย ๆ ด้าน และเราตั้งใจที่จะใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการทำกำไรของบริษัทด้วย  สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นในความมุ่งมั่นด้านการเงินในระยะกลางถึงระยะยาวของเรา สำหรับ Henkel Consumer Brands แบรนด์ผู้บริโภคของเฮงเค็ลนั้น เราตั้งเป้าไว้ว่าจะมีการเติบโตของยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ที่ 3 ถึง 4 % และอัตรากำไรที่ปรับแล้วในช่วงหลักสิบกว่าเปอร์เซนต์   เราจะนำเงินออมบางส่วนไปลงทุนใหม่เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจของเรา  ในการทำเช่นนั้น เราจะผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าในด้านสำคัญๆ เช่น นวัตกรรม ความยั่งยืน และระบบดิจิทัล  สิ่งนี้จะช่วยให้เราสร้างการเติบโตในเชิงบวกและนำวาระการเติบโตอย่างมีเป้าหมายให้ไปสู่ระดับต่อไป”

การรวมเข้าเป็นหน่วยธุรกิจเดียวคาดว่าจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายขั้นต้นได้อย่างมีนัยสำคัญ (ก่อนที่จะไปลงทุนใหม่) รวมเป็นเงินประมาณ 500 ล้านยูโรในระยะกลาง  การบูรณาการเหล่านี้เป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างด้านการขายและการบริหารให้เหมาะสม การปรับห่วงโซ่อุปทาน (การผลิตและการขนส่ง) และในการโฆษณาและการตลาด  การดำเนินการจะเกิดขึ้นในสองขั้นตอน  ในระยะแรก มาตรการที่จะนำมาใช้ภายในสิ้นปี 2566 คาดว่าจะนำไปสู่การประหยัดสุทธิได้ประมาณ 250 ล้านยูโรต่อปี  นับจากนี้ งานประมาณ 2,000 ตำแหน่งจะได้รับผลกระทบทั่วโลก ส่วนใหญ่ในด้านการขายและการบริหาร  ในระยะแรก เฮงเค็ลคาดว่าค่าใช้จ่ายแบบครั้งเดียวเบ็ดเสร็จจะอยู่ที่ประมาณ 350 ล้านยูโร  ในระยะที่สอง โฟกัสจะอยู่ที่การเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานของหน่วยธุรกิจที่มารวมกันแล้ว

ในฐานะที่เป็นแพลตฟอร์มหลายหมวดหมู่สำหรับธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหมด ที่มียอดขายรวมประมาณ 10 พันล้านยูโร แบรนด์ผู้บริโภคของเฮงเค็ลยังจะมอบโอกาสที่ดียิ่งขึ้นไปอีกสำหรับการจัดพอร์ตโฟลิโอเชิงรุก  ซึ่งรวมถึงการขายหรือการเลิกกิจการของธุรกิจที่มีการเติบโตและผลกำไรไม่เป็นไปตามเกณฑ์ของเรา ธุรกิจและแบรนด์ที่มียอดขายรวมสูงถึง 1 พันล้านยูโรกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา  การเข้าซื้อกิจการที่เราเล็งไว้ โดยเฉพาะ ในหมวดหมู่สินค้าหลักที่มีอยู่และในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคใหม่อื่น ๆ  มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายพอร์ตโฟลิโอต่อไปและเร่งโมเมนตัมการเติบโตของแบรนด์ผู้บริโภคของเฮงเค็ล

“ด้วยการมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจและแบรนด์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงอย่างต่อเนื่อง เรากำลังสร้างเงื่อนไขให้เกิดการเพิ่มยอดขายและรายได้ของเรา เช่นเดียวกับการหาเงินทุนเพิ่มเติมสำหรับการลงทุนเพื่อที่จะเติบโต – และด้วยวิธีนี้ เราจะสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนและเสริมความแข็งแกร่งได้ด้วยตนเอง” วูลฟ์กัง โคนิค หัวหน้าหน่วยธุรกิจ Henkel Consumer Brands กล่าวสรุป

แนวโน้มของกลุ่มบริษัทเฮงเค็ล

จากการพัฒนาธุรกิจในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2565 และสมมติฐานปัจจุบันเกี่ยวกับผลการดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนวัตถุดิบและบริการด้านลอจิสติกส์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตลอดจนผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจยุติธุรกิตในในรัสเซีย คณะกรรมการบริหารของ Henkel AG & Co. KGaA ได้ปรับปรุงแนวโน้มสำหรับปีงบประมาณ 2022 เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2022

สถานการณ์ที่ตึงเครียดเป็นอย่างมากในตลาดวัตถุดิบและในซัพพลายเชนทั่วโลกได้เลวร้ายลงจากวิกฤติสงครามในยูเครน  ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบและบริการด้านลอจิสติกส์เพิ่มขึ้นอีกอย่างมีนัยสำคัญและมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้  นอกจากการประกาศเลิกกิจการในรัสเซียในช่วงกลางเดือนเมษายน เฮงเค็ลยังได้ตัดสินใจยุติการดำเนินงานในเบลารุสด้วยเช่นกัน  ซึ่งส่งผลต่อยอดขายรวมต่อปีประมาณหนึ่งพันล้านยูโร

สำหรับราคาค่าวัสดุ เฮงเค็ลคาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่า 20% ประมาณกลางปีเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในปี 2564 ก่อนหน้านี้ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงต่ำกว่าสิบ

ตอนนี้เฮงเค็ลคาดว่ายอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ จะเติบโตในระดับกลุ่มในปีงบประมาณ 2565 ที่ 3.5 ถึง 5.5% (จากเดิม: 2.0 ถึง 4.0 %)

การเติบโตของยอดขายโดยรวมที่คาดการณ์ไว้ว่าจะแข็งแกร่งขึ้นนั้นได้รับแรงหนุนหลักจากหน่วยธุรกิจเทคโนโลยีกาว ซึ่งตอนนี้เฮงเค็ลคาดว่ายอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ จะเติบโตในช่วง 8 ถึง 10 % (จากเดิม: 5 ถึง 7 %) โดยมีสาเหตุหลักมาจากการที่  ราคาต้นทุนวัตถุดิบและลอจิสติกส์ที่สูงขึ้น  ความคาดหวังสำหรับการเติบโตของยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ในหน่วยธุรกิจบิวตี้แคร์และซักล้างและในครัวเรือนยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

สำหรับผลิตภัณฑ์บิวตี้แคร์ ยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ คาดว่าจะลดลง 5 ถึง 3 %  ตามที่ได้ประกาศไว้ การลดลงส่วนใหญ่เกิดจากมาตรการที่ตัดสินใจแล้วและอยู่ระหว่างกำลังดำเนินการปรับปรุงพอร์ตโฟลิโอ รวมถึงการยุติการดำเนินกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักในอนาคต  สำหรับผลิตภัณฑ์ซักล้างและเครื่องใช้ในครัวเรือน เฮงเค็ลยังคงคาดว่ายอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ จะเติบโตในช่วง 2 ถึง 4%  ในแง่ของการตัดสินใจยุติการดำเนินงานของเฮงเค็ลในรัสเซียและเบลารุส ประเทศเหล่านั้นจะไม่รวมอยู่ในตัวเลขการเติบโตของยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ของเฮงเค็ลตั้งแต่ไตรมาสที่สองเป็นต้นไป

เราคาดว่าการเข้าซื้อกิจการและการขายกิจการในปี 2564 และผลกระทบของการยุติการดำเนินธุรกิจในรัสเซียและเบลารุสจะมีผลกระทบในทางลบในช่วงเปอร์เซนต์ที่ต่ำถึงปานกลางเทียบกับการเติบโตของยอดขายของกลุ่มเฮงเค็ล  คำแนะนำของเราไม่ได้นับรวมถึงผลกระทบจากการถอนการลงทุนและการยุติการดำเนินทางธุรกิจ แบรนด์และสินค้าที่อยู่ภายในพอร์ตการบริหารงานของเราที่อยู่นอกเหนือจากหน่วยธุริกิจบิวตี้แคร์ ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้ว  การแปลงยอดขายเป็นสกุลเงินต่างประเทศคาดว่าจะส่งผลดีเป็นตัวเลขหลักเดียวในระดับที่ต่ำ (ไม่เปลี่ยนแปลง)

นอกจากผลกระทบจากการยุติการทำธุรกิจในรัสเซียและเบลารุสแล้ว ราคาค่าวัสดุและค่าขนส่งที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมากและยังไม่สามารถทำการชดเชยได้ในปีงบประมาณนี้ ทำให้ส่งผลกระทบต่อรายได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT margin) สำหรับกลุ่มเฮงเค็ลคาดว่าจะอยู่ในช่วง 9 ถึง 11 % (ก่อนหน้านี้: 11.5 ถึง 13.5 %) สำหรับหน่วยธุรกิจเทคโนโลยีกาว เฮงเค็ลคาดว่าผลตอบแทนจากการขายที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่ที่ 13 ถึง 15 % (จากเดิม: 15 ถึง 17 %) สำหรับบิวตี้แคร์ อยู่ในช่วง 5 ถึง 7 % (ก่อนหน้านี้ 7.5 ถึง 10 %)  และธุรกิจซักล้างและของใช้ในครัวเรือนในช่วง 7 ถึง 9 % (จากเดิม: 10.5 ถึง 13 %)

สำหรับกำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิที่ปรับปรุงแล้ว (EPS) ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ เฮงเค็ลคาดว่าจะลดลงในช่วง -35 ถึง -15 % (จากเดิม: -15 ถึง +5 %)

 นอกจากนี้เรายังมีความคาดหวังสำหรับปี 2022 ดังต่อไปนี้:

  • ค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างใหม่ 450 ถึง 500 ล้านยูโร (จากเดิม: 200 ถึง 250 ล้านยูโร)  รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการรวมกิจการหน่วยธุรกิจซักล้างและของใช้ในครัวเรือนและบิวตี้แคร์
  •  กระแสเงินสดไหลออกสำหรับการลงทุนในที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ และสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้อยู่ระหว่าง 700 ถึง 800 ล้านยูโร (ไม่เปลี่ยนแปลง)

มุมมองใหม่นี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าผลกระทบของสงครามในยูเครนจะไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้ และจะไม่มีการปิดตัวธุรกิจหรือปิดโรงงานผลิต หรือร้านค้าปลีกอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

นอกจากนี้ การถอนตัวจากการทำธุรกิจในรัสเซียและเบลารุสอาจส่งผลให้มีการปรับปรุงค่าใช้จ่ายภายในครั้งเดียว ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ใช่เงินสด  สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับประเภท ระยะเวลา และระยะเวลาของการดำเนินการ

คาร์สเทน โนเบล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเฮงเค็ล

มาร์โค สโวโบดา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของเฮงเค็ล

แม็กกี้ แทน เฮงเค็ล เอจี แอนด์ โค เคจีเอเอ ฝ่ายสื่อสารองค์กร ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ +65 6424 7045 ส่งอีเมลล์ ดาวน์โหลดนามบัตร เพิ่มเนื้อหาของฉัน